วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

นางในวรรณคดี ( 16 9 56 )


นางในวรรณคดี
           
วรรณคดี ถือเป็นวรรณกรรมหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่า นอกจากจะมีเนื้อหาสาระในเชิงสร้างสรรค์แล้ว ยังมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ สามารถทำให้ผู้อ่านคล้อยตามเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ วรรณคดีส่วนใหญ่ มักให้ความสำคัตัวละคร รวมถึงการดำเนินเรื่อง และสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากไม่แพ้เนื้อหา คือ นางในวรรณคดี ที่แต่ละเรื่องที่มีอุปนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งนางในวรรณคดีเหล่านี้บ้างก็พบกับโชคชะตาที่ยากลำบาก หรืออุปสรรคต่าง ๆ กระทั่งนำไปบทสรุปที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้นำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตนั่นเอง 
            เนื่องจากวรรณคดีมีมากมายหลายเรื่อง ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้จักนางในวรรณคดีมากขึ้น เราจึงนำเรื่องราวของนางในวรรณคดีจากเรื่องต่าง ๆ มากฝากกันค่ะ ส่วนจะมีใครบางนั้น ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลยจ้า 


กากี จากเรื่อง กากาติชาดก 
          
           นางกากี นอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว ยังมีกลิ่นกายหอมชวนหลงใหล เมื่อชายใดแตะต้องหรือ สัมผัสนาง กลิ่นกายนางก็จะหอมติดชายคนนั้นไปถึงเจ็ดวัน เดิมทีนางกากีเป็นพระมเหสีของท้าวบรมพรหมทัต ซึ่งโปรดการเล่นสกามาก และมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามมาเล่นสกาอยู่ด้วยเนือง ๆ จนวันหนึ่งท้าวบรมพรหมทัตเล่นสกาเพลิน มิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดูและสบตาเข้ากับพระยาครุฑแปลง จากนั้นทั้งสองต่างเกิดอาการหวั่นไหว จนพระยาครุฑได้ตัดสินใจลักพาตัวนางไปอยู่ที่วิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัยมาก ดังนั้น คนธรรพ์นาฏกุเวร (คนธรรพ์คือเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีความชำนาญด้านดนตรี) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของท่านท้าวท้าวบรมพรหมทัตจึงอาสาพานางกลับมา โดยการแปลงตัวเป็นไรแทรกอยู่ในขนครุฑเพื่อตามไปที่วิมานของครุฑ 
      จากนั้นเมื่อพระยาครุฑบินออกไปหาอาหารคนธรรพ์นาฏกุเวรก็ปรากฏกายออกมา แต่แทนที่จะพานางกากีกลับเมือง กลับเกี้ยวพาราสีและเล้าโลมนางจนได้เสียกัน ต่อมาคนธรรพ์นาฏกุเวรกลับมารายงานท้าวบรมพรหมทัตว่า นางกากีจะอยู่กับครุฑและตนได้เสียกับนางแล้วเพื่อให้ท้าวบรมพรหมทัตรังเกียจนาง ซึ่งท้าวบรมพรหมทัตก็โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อพระยาครุฑแปลงกายมาเล่นสกาอีกก็ถูกคนธรรพ์นาฏกุเวรเยาะเย้ย เมื่อพญาครุฑทราบเรื่องทั้งหมดก็โกรธนางกากีมาก ถึงขั้นนำนางมาปล่อยไว้ในเมือง ส่วนท้าวบรมพรหมทัตเอง เมื่อเห็นนางก็ต่อว่าถากถางก่อนนำนางไปลอยแพกลางทะเล ระหว่างนั้นนางกากีได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ก่อนตกเป็นภรรยาของชายผู้นี้  แต่เคราะห์กรรมนางก็ยังไม่หมด เมื่อถูกโจรลักพาตัวไปเพราะหลงใหลรูปโฉม แต่ปรากฏว่า ในหมู่โจรก็เกิดการแย่งชิงนางเกิดขึ้น เมื่อนางหนีไปได้ก็ได้ไปเป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ กษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง เมื่อคนธรรพ์นาฏกุเวรได้ครองเมืองแทนท้าวบรมพรหมทัตที่สวรรคตลง ก็ได้ตามไปชิงนางกลับคืนมาโดยการฆ่าท้าวทศวงศ์ เรื่องจึงจบลง ซึ่งนับดูแล้วพบว่า นางกากีมีสามีถึง 5 คน และต้องตกระกำลำบาก รวมถึงถูกสังคมประณามเนื่องจากมีเสน่ห์มากเกินไป

มโนราห์ จากเรื่อง พระสุธน-มโนห์รา 

         นางมโนราห์ เป็นธิดาองค์เล็กของท้างทุมราชผู้เป็นพระยากินนร  นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน กันและงดงามยิ่งกว่านางมนุษย์  โดยทุกองค์มีปีกและหางที่ถอดออกได้  เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้ นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมืองปัญจาลนคร  พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ทำให้สามารถจับนางมโนราห์ไปถวายแค่พระสุธนได้ พระสุธนเมื่อเห็นนางเข้าก็เกิดหลงรักและพานางกลับเมืองจนได้อภิเษก ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธน เพราะพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ เมื่อพระบิดาพระสุธนได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตจึงทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญเพื่อแก้เคล็ด เมื่อท้าวอาทิตยวงศ์ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์ที่รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางจึงร่ายรำสักพักก่อนบินหนีไป ไปเจอฤาษี 
        จากนั้นนางได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็ได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจึงติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเวรกรรมจากชาติปางก่อน เนื่องจาก นางมโนราห์ คือ พระนางเมรี และพระสุธนคือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก  เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงแจ้งให้พระบิดาและพระมารดาทราบ ดังนั้นเมื่อพระบิดาของนางมโนราห์ต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักต่อนางมโนราห์จริงหรือไม่ จึงได้ทำการทดสอบพระสุธน โดยให้บอกว่า นางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ ๆ ต่างมีหน้าตาเหมือนกัน ด้านพระอินทร์เกิดเห็นใจจึงให้ความช่วยเหลือจนทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่กันอย่างมีความสุข

พระเพื่อน พระแพง จากเรื่อง ลิลิตพระลอ

           เจ้าราชวงศ์แมนสรวงกับเจ้าราชวงศ์สรองเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่โอรสและธิดาของ 2 เมืองนี้เกิดรักกันและยอมตายด้วยกัน ฝ่ายชายคือ พระลอ เป็นกษัตริย์แห่งเมืองแมนสรวง มีพระชายาชื่อ นางลักษณวดี สำหรับ พระลอ นั้น เป็นหนุ่มรูปงามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนทำให้พระเพื่อน พระแพง เกิดความรักและปรารถนาที่จะได้พระลอมาเป็นสวามี พี่เลี้ยงของพระเพื่อน พระแพง ชื่อนางรื่น นางโรย จึงได้ออกอุบายส่งคนไปขับซอยอโฉมพระเพื่อน พระแพง ให้พระลอฟัง และให้ปู่เจ้าสมิงพรายทำเสน่ห์ให้พระลอเกิดความรักหลงใหลคิดเสด็จไปหานางแต่เมื่อพระนางบุญเหลือชนนีของพระลอทราบเรื่องเข้าจึงได้หาหมอแก้เสน่ห์ แต่ปู่เจ้าสมิงพรายได้เสกสลาเหิน(หมากเหิน) มาให้พระลอเสวยในตอนหลังอีก ทำให้พระลอถึงกับหลงใหลธิดาทั้งสองมากขึ้น พระลอจึงทูลลาชนนีและพระนางลักษณวดีไปยังเมืองสรอง พร้อมกับนายแก้ว นายขวัญ ที่เป็นพี่เลี้ยง จนกระทั่งพระลอได้พบกับพระธิดาทั้งสอง และได้พวกนางเป็นชายา รวมทั้งนายแก้ว นายขวัญ ก็ได้กับนางรื่น กับนางโรย พี่เลี้ยงเป็นภรรยาด้วยเช่นกัน
          ต่อมา เมื่อพระพิชัยพิษณุกร พระบิดาของพระเพื่อน พระแพง ทราบเรื่องก็ทรงกริ้ว แต่พอทรงพิจารณาเห็นว่าพระลอมีศักดิ์เสมอกันก็หายกริ้ว แต่พระเจ้าย่า (ย่าเลี้ยง) ของพระเพื่อน พระแพง โกรธมาก เพราะแค้นที่พระบิดาของพระลอได้ประหารท้าวพิมพิสาครสวามีในที่รบ พระเจ้าย่าจึงถือว่าพระลอเป็นศัตรู และได้สั่งทหารให้ไปล้อมพระลอที่ตำหนักกลางสวน พร้อมทั้งสั่งประหารด้วยธนู ทำให้ พระลอ พระเพื่อน พระแพง ที่ร่วมกันต่อสู้กับทหารของพระเจ้าย่า สิ้นชีพเคียงข้างกันทั้ง 3 พระองค์    ด้านท้าวพิชัยพิษณุกร ทรงทราบว่าพระเจ้าย่าสั่งให้ทหารฆ่าพระลอพร้อมพระธิดาทั้งสององค์ ก็ทรงกริ้วและสั่งประหารพระเจ้าย่าเสีย เนื่องจากมิใช่พระชนนี แล้วโปรดให้จัดการพิธีศพพระลอกับพระธิดาร่วมกันอย่างสมเกียรติ โดยส่งทูตนำสาส์นไปถวายพระนางบุญเหลือ ชนนีของพระลอ ที่เมืองแมนสรวง สุดท้ายเมืองสรองกับเมืองแมนสรวงจึงกลับมามีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน

สุวรรณเกสร จากเรื่อง เจ้าหญิงนกกระจาบ 
        
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มีนกกระจาบสองผัวเมียพร้อมด้วยลูกเล็ก ๆ อีก 4 ตัวทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ แม่นกนั้นคอยอยู่ดูแลลูกอ่อน ส่วนพ่อนกมีหน้าที่บินออกไปหาเหยื่อมาเลี้ยงลูกเมีย วันหนึ่งพ่อนกบินหาอาหารออกไปไกลถึงกลางบึงใหญ่ ซึ่งมีดอกบัวขึ้นอยู่มากมายทำให้พ่อนเพลิดเพลินจนลืมเวลา ครั้นถึงตอนเย็นดอกบัวก็หุบกลีบเข้าหากันและได้ขังพ่อนกเอาไว้ข้างใน แม้ว่าพ่อนกจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้   ฝ่ายแม่นกและลูก ๆ รออาหารอยู่ด้วยความหิวโหย บังเอิญคืนนั้นเกิดไฟไหม้ป่า แม่นกไม่สามารถช่วยลูก ๆ หนีภัยได้ จึงทิ้งรังไว้จนลูกนกโดนไฟคลอกตายทั้งหมด ส่วนแม่นกนั้นเกาะกิ่งไม้ร้องไห้ด้วยความอาลัยรักลูก ๆ ของตน พอถึงเวลาเช้าดอกบัวสยายกลีบพ่อนกก็รีบบินกลับรัง ครั้นพบแต่รังที่กลายเป็นเถ้าถ่านรู้สึกเสียใจมากจึงรีบเข้าไปหาแม่นก แต่นางนกกระจาบได้ตัดพ้อต่อว่าหาว่าพ่อนกมัวไปติดพันนางนกอื่นอยู่ไม่ยอมกลับรัง แม้พ่อนกจะพยายามอธิบายอย่างไรนางนกกระจาบก็ไม่ยอมฟัง นางจึงอธิษฐานว่าชาติของให้เกิดเป็นหญิง และจะไม่ยอมพูดกับผู้ชายคนไหนอีกเลย แล้วนางนกกระจาบก็บินเข้าสู่กองไฟตายตามลูก ๆ ไป พ่อนกเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ อธิษฐานว่าด้วยความสัตย์จริงในสิ่งที่ตนกระทำลงไปโดยมิได้มีเจตนานอกใจนางนกกระจาบ ขอให้ตนเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่นางนกกระจาบซึ่งไปเกิดใหม่ยอมพูดด้วย แล้วพ่อนกก็โผเข้ากองไฟสิ้นใจตามไปอีกตัว ต่อมานางนกกระจาบได้เกิดใหม่เป็น เจ้าหญิงสุวรรณเกษร ราชธิดาของท้าวพรหมทัต และพระมเหสี ซึ่งมีนามว่า พระนางโกสุมา แห่งเมืองโกสัมพี (บางตำนานว่ามาเกิดเป็นเจ้าหญิงสุวรรณโสภา ราชธิดาของพระเจ้าอุสภราช และพระนางกุสุมพา กษัตริย์ผู้ครองเมือง ศิริราชนคร) 
        พระธิดาสุวรรณเกสรนั้นเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์สิริโฉมโสภาเกินกว่าหญิงใดในหล้า แต่เมื่อเกิดมาจวบจนถึงวัยครองเรืองนางกลับไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับผู้ชายคนไหนทั้งสิ้น แม้แต่ผู้เป็นพระบิดาของตนเอง ท้าวพรหมทัตรู้สึกทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก ถึงกับให้มีประกาศไปทั่วทุกแคว้นแดนดินว่า หากชายใดสามารถทำให้พระธิดายอมพูดด้วยก็จะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสุวรรณเกสรทันที 

          บรรดากษัตริย์รวมทั้งเศรษฐีจากเมืองต่าง ๆ ได้ส่งพระโอรสและทายาทของตนมาขอทดสอบ แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนเจ้าหญิงสุวรรณเกสรก็ไม่ยอมเอ่ยปากเจรจากับเจ้าชายหรือทายาทหนุ่มของเศรษฐีคนใดเลยแม้แต่เพียงคำเดียว  กล่าวถึงพ่อนกกระจาบซึ่งได้มาเกิดใหม่เป็น เจ้าชายสรรพสิทธิ์ พระโอรสของ พระเจ้าวิชัยราช กับพระนางอุบลเทวี แห่งอลิกนคร เมื่อทราบเรื่องราวเกี่ยวกับ พระธิดาสุวรรณเกษร ทำให้เจ้าชายสรรพสิทธิ์สนใจนึกอยากจะไปทดสอบดู เพราะพระองค์และชานุ ผู้เป็นพี่เลี้ยง เคยไปเรียนวิชาเกี่ยวกับการถอดจิต จึงใช้กลอุบายดังกล่าวจนสามารถทำให้พระธิดาสุวรรณเกษรเอ่ยปากพูดได้ เจ้าชายสรรพสิทธิ์และสุวรรณเกสร จึงได้อภิเษกสมรสกันและครองเมืองอลิกนครอย่างมีความสุข


           รจนา จากเรื่อง สังข์ทอง 

          พระสังข์ เป็นโอรสของ ท้าวยศวิมลกับมเหสีชื่อนางจันท์เทวี แต่พระองค์และพระมารดาได้ถูกเนรเทศออกจากวัง เนื่องจากสนมเอกของท้าวยศวิมลที่ชื่อนางจันทาเทวี เกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อจึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง

          นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยอยู่กับตายายชาวไร่ เป็นเวลาถึง 5 ปี ระหว่างนั้นพระโอรสในหอยสังข์ก็แอบออกมาช่วยทำงานบ้านตอนที่ไม่มีใครอยู่ เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย เพื่อให้พระสังข์ได้ออกมาอยู่ตน ทว่า ในเวลาต่อมาพระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร แต่ท้าวภุชงค์ที่เป็นพญานาคได้มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปี

          วันหนึ่งพระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง จนได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง และไม้พลอง รวมถึงกับซากโครงกระดูก ทำให้พระสังข์ทราบว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ จึงเตรียมแผนการหนีด้วยการกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง ก่อนสวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไป

          จากนั้นพระสังข์ได้เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมีท้าวสามลและพระนางมณฑาปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะพระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ รจนา มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่งท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ นางรจนาที่เห็นรูปทองก็ได้เลือกเจ้าเงาะเป็นสวามี ด้านท้าวสามลที่โกรธจัด เนื่องจากนางรจนาเลือกเจ้าเงาะที่มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ดังนั้นจึงสั่งเนรเทศนางไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ แม้รจนาต้องปลูกผักกินเอง และต้องหุงหาอาหารต่าง ๆ โดยที่นางไม่เคยได้ทำ แต่เจ้าเงาะก็ได้สอนการเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้กับนาง  จนนางทำได้ทุกอย่างและอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข  แต่บรรดาพ่อแม่และพี่ ๆ ก็ยังคอยกลั่นแกล้งนางรจนากับเจ้าเงาะตลอด จนพระอินทร์เกิดสงสารจึงคิดอุบายตีเมืองของท้าวสามนต์ เพื่อให้เจ้าเงาะถอดรูปออกมารบจนชนะ เมื่อท้าวสามลทราบความจริงก็พอใจเป็นอย่างมาก จึงให้ทั้งสองเข้ามาอยู่ในวังด้วยกันดังเดิม   

จินตะหราวาตี จากเรื่อง อิเหนา 

           นางจินตะหรา เป็นพระธิดาท้าวหมันหยากับนางจินดาส่าหรีประไหมสุหรี เกิดในปีเดียวกับอิเหนาแต่อ่อนเดือนกว่า จึงมีฐานะเป็นน้อง แต่ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือและทำให้อิเหนาหลงใหลจนไม่อยากกลับบ้าน แต่ขณะนั้นอิเหนามีคู่หมั้นแล้ว คือ นางบุษบา ขณะที่จะอภิเษกสมรสกับนางบุษบา อิเหนาได้หนีออกไปประพาสป่า และได้ปลอมตัวเป็นโจรชื่อ ปันหยี โดยตั้งใจเดินทางไปเมืองหมันหยา ระหว่างทางได้พบเจ้าเมืองรายทางรวมทั้งได้รับการถวายพระธิดา คือ นางสการะวาตีกับนางมาหยารัศมี ให้เป็นข้ารับใช้ อิเหนาได้สู่ขอนางจินตะหรา แต่ท้าวหมันหยาไม่กล้ายกให้ บอกให้อิเหนาไปคุยกับนางจินตะหราเอง อิเหนาจึงไม่ยอมอภิเษกกับบุษบา ท้าวดาหาโกรธมากจึงรับสั่งว่า ใครมาสู่ขอจะยกให้ แต่เมื่อจรกามาสู่ขอและได้เกิดศึกชิงนางบุษบาขึ้น อิเหนาจึงจำใจยกทัพไปช่วย  แต่เมื่อได้พบนางบุษบา อิเหนาเกิดหลงรักนางขึ้นมา จึงไม่ยอมกลับไปที่เมืองหมันหยาตามที่ตั้งใจไว้ ด้านนางจินตะหราน้อยใจมากที่อิเหนาลืมนาง ต่อมานางได้พบกับอิเหนาอีกครั้ง เมื่อท้าวกุเรปันส่งสารมาให้นางไปเข้าพิธีอภิเษกพร้อมกับนางบุษบา แม้นางจินตะหราไม่อยากไปร่วมพิธี แต่ขัดไม่ได้ จึงพานางสการะวาตีและนางมาหยารัศมีไปด้วย  ในพิธีอภิเษก นางบุษบาได้อยู่ในตำแหน่งประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย ขณะที่จินตะหราวาตีอยู่ในตำแหน่งประไหมสุหรีฝ่ายขวา ด้วยความเห็นชอบของท้าวดาหา แต่นางจินตะหราไม่มีความสุขกับตำแหน่งนั้น เพราะอิเหนาไม่ได้รักนางเหมือนเมื่อก่อน 
          ดังนั้นเมื่ออิเหนามาหา นางก็ได้ทวงสัญญาเมื่อครั้งเก่า ทำให้อิเหนาเสื่อมรักนางมากขึ้น แต่ไม่สามารถขัดคำสั่งของประไหมสุหรีของท้าวดาหาได้ ดังนั้นอิเหนาจึงจำใจต้องไปง้อนาง แต่เมื่อท้าวหมันหยากับประไหมสุหรีได้ทราบเรื่องนี้ จึงเรียกนางจินตะหราไปตักเตือน ทำให้นางจินตะหราทราบว่า แท้จริงแล้วตัวนางเสียเปรียบนางบุษบามาก หากนางทำตัวเช่นนี้มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง นางจินตะหราจึงยอมคืนดีกับอิเหนาและเป็นฝ่ายเข้าหานางบุษบาแต่โดยดี

บุษบา จากเรื่อง อิเหนา 

          นางบุษบา เป็นธิดาของท้าวดาหาและประไหมสุหรีดาหราวาตี แห่งกรุงดาหา เมื่อตอนประสูติมีเหตุอัศจรรย์คือ มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งวัง ดนตรี แตรสังข์ก็ดังขึ้นเองโดยไม่มีผู้บรรเลง และเมื่อประสูติได้ไม่นาน ท้าวกุเรปันก็ขอตุนาหงันให้กับอิเหนา ทั้งนี้ นางบุษบาเป็นหญิงที่งามล้ำเลิศกว่านางใดในแผ่นดินชวา กิริยามารยาทเรียบร้อย คารมคมคาย เฉลียวฉลาดทันคน ใจกว้างและมีเหตุผล จึงทำให้อิเหนารักใคร่หลงใหลนางยิ่งกว่าหญิงใด  ทว่า นางถูกเทวดาบรรพบุรุษของวงค์อสัญแดหวา คือ องค์ปะตาระกาหลาบันดาลให้ลมพายุหอบไป ทำให้นางต้องพลัดพรากจากอิเหนาเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้พบอิเหนาและวิวาห์กัน โดยนางได้ตำแหน่งเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย ทั้งนี้ การที่นางยอมให้อิเหนายกนางจินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวาแต่โดยดี ด้วยเห็นว่านางจินตะหราเป็นผู้มาก่อน แม้ว่าจินตะหราจะไม่ใช่วงศ์เทวัญ ซึ่งข้อนี้ยากที่จะหาหญิงใดเสมอเหมือนและนับว่านางบุษบาเป็นหญิงไทยในวรรณคดีที่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติคนหนึ่ง

สุวรรณมาลี จากเรื่อง พระอภัยมณี 

          นางสุวรรณมาลี เป็นธิดาของท้าวสิลราช กษัตริย์เมืองผลึก กับนางมณฑา นางมีรูปโฉมงดงามมาก แต่มีนิสัยขี้หึง ซึ่งพระบิดาได้หมั้นหมายนางสุวรรณมาลีไว้กับอุศเรนโอรสกษัตริย์เมืองลังกา นางลงเรือไปเที่ยวทะเลกับท้าวสิลราชแล้วได้ไปพบกับพระอภัยมณีที่เกาะแก้วพิสดาร สินสมุทรบุตรของพระอภัยมณีพยายามเป็นสื่อให้นางรักใคร่กับพระอภัยมณี ครั้นได้กลับไปถึงเมืองผลึกนางก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกับพระอภัยมณี ทั้งสองมีธิดาฝาแฝดชื่อสร้อยสุวรรณและจันทร์สุดา ต่อมาพระอภัยมณีตัดสินใจบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญศีลอยู่ที่เขาสิงคุตร์ นางสุวรรณมาลีก็บวชตามไปปรนนิบัติด้วยความจงรักภักดี  นอกจากนางจะเป็นหญิงที่มีความงามแล้ว นางยังมีความสามารถมีสติปัญญาเทียบเท่าผู้ชาย มีความรู้ในการรบ รู้ตำราพิชัยสงคราม และยังมีความเฉลียวฉลาดสามารถเอาตัวรอดและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นลักษณะที่โดดเด่นของนางในวรรณคดีตัวนี้ที่เห็นได้ชัดเจนทีเดียว


ละเวงวัณฬา จากเรื่อง พระอภัยมณี 

          นางละเวงวัณฬา เป็นธิดาของของกษัตริย์เมืองลังกา และเป็นน้องสาวของอุษเรนผู้เป็นคู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี เมื่อนางอายุได้ 16 ปี นางต้องสูญเสียบิดาและพี่ชายในสงครามสู้รบระหว่างเมืองลังกาและเมืองผลึกเพื่อแย่งชิงนางสุวรรณมาลีกลับคืนจากพระอภัยมณี แม้จะเสียใจจนคิดที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อและพี่ชายไป แต่ด้วยความแค้นและภาวะที่บ้านเมืองกำลังขาดผู้นำ นางจึงขึ้นครองเมืองลังกาแทนบิดา และตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้นแทนบิดาและพี่ชายให้จงได้ ในตอนต้นนางทำศึกด้วยการใช้เล่ห์กลอุบายตามคำแนะนำของบาทหลวง ทั้งนี้ ด้วยความแค้นที่พ่อและพี่ชายถูกฆ่าตายด้วยฝีมือชาวเมืองผลึก แม้ว่าความพยายามของนางในตอนต้น ๆ จะไม่ได้ผล นางก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งพระอภัยมณียกทัพไปราวีกรุงลังกาเสียเอง ทั้ง ๆ ที่มีความเกลียด ความโกรธ ความอาฆาตแค้นอยู่เต็มอก แต่พอนางได้พบหน้าและได้ต่อปากต่อคำกับพระอภัยมณีศัตรูคนสำคัญเพียงครั้งเดียว นางก็เกิดรู้สึกเสน่หาในตัวพระอภัยมณี แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าเมืองลังกา นางละเวงวัณฬาจึงต้องยอมตัดใจเป็นเด็ดขาดและคิดที่จะยกกองทัพกลับมาต่อสู้ให้ชนะจงได้ 
 

   เมรี จากเรื่อง นางสิบสอง 

          นางเมรี เป็นธิดาของ นางยักษ์สนธมาร เมื่อนางยักษ์สนธมารได้ออกอุบายให้พระรถเสน ซึ่งเป็นลูกของนางสิบสอง กับ พระรถสิทธ์ราช ผู้ครองเมืองกุตารนคร ไปตามหา  “มะม่วงหาว มะนาวโห่มีอยู่ที่เมืองคชปุรนคร เพื่อรักษาอาการป่วยของนาง โดยนางสนธมารได้เขียนสารให้พระรถเสนนำไปยื่นที่เมืองคชปุรนครด้วย จากนั้นเมื่อพระรถเสนได้ขี่ม้าไปจนถึงอาศรมพระฤาษี ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงหลับลงที่นั่น เมื่อพระฤาษีได้ทราบถึงอุบายของนางยักษ์สนธมารที่เขียนสารให้นางเมรีกินพระรถเสนผู้ถือสารทันทีที่ไปถึงเมืองดังกล่าว พระฤาษีจึงทำการแปลงสารว่า ให้นางเมรีรับพระรถเสนเป็นสวามี ดังนั้นถึงพระรถเสนเมืองคชปุรนคร นางเมรีจึงได้จัดการอภิเษกพระรถเสนกุมารให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และอภิเษกสมรสนางเป็นมเหสี ครอบครองราชสมบัติในคชปุรนคร ต่อมาพระรถเสนเกิดคิดถึงมารดาอยากกลับพระนคร จึงได้ออกอุบายโดยทรงแสร้งทำเป็นว่าเสวยสุรากับนางเมรี  จนนางเมรีมีอาการเมามาย ขณะที่พระรถเสนทอดพระเนตรดูสิ่งของต่าง ๆ ในปราสาทนั้น ทรงพบห่อของห่อหนึ่งจึงสอบถามนางเมรีที่ไม่ได้สติ จนทราบว่าเป็นห่อลูกตาของนางสิบสอง และยังได้ทราบสรรพคุณของห่อยาวิเศษต่าง ๆ  โดยหนึ่งในนั้นเป็นยาทิพย์ที่สามารถรักษาตาของนางสิบสองได้ พอนางเมรีหลับพระรถเสนจึงนำห่อลูกตาและห่อยาเหล่านั้นรีบขึ้นม้าหนีออกไปในเวลากลางคืน เมื่อนางเมรีไม่เห็นพระรถเสนก็ตกใจเที่ยวค้นหาจนทั่วปราสาท เมื่อรู้ว่าพระรถเสนหนีไป นางจึงออกติดตามพระรถเสนทันที แต่พระรถเสนได้บอกลานางโดยกล่าวว่า แม้ตนจะรักนางเพียงใด แต่ตนต้องกตัญญูต่อมารดา จึงจำต้องลากจากนางไป เมื่อนางเมรีเห็นพระรถเสนทิ้งนางไปเช่นนั้น นางเมรีก็ทรงกันแสงเสียพระทัยจนสิ้นชีพในที่สุด โดยในท้ายเรื่องพระรถเสนสามารถช่วยมารดาและบรรดาป้า ๆ ของตนได้ ส่วนนางยักษ์สนธมารเมื่อเห็นพระรถเสนกลับมาอย่างปลอดภัยก็มีความเสียใจจนสิ้นชีวิตอยู่บนปราสาทของนางนั้นเอง 
วันทอง จากเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน 

          นางวันทอง เป็นธิดาคนเดียวของพันศรโยธาและนางศรีประจัน ครอบครัวของนางวันทองเป็นตระกูลพ่อค้าที่มีฐานะดีพอสมควร นางจึงได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ความสวยของนางวันทองปรากฏให้เห็นชัดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งมีความงามมากขึ้น เป็นชนวนเหตุให้ขุนแผนและขุนช้างมีจิตใจผูกพันรักใคร่ ส่งผลให้เกิดเรื่องราววุ่นวายตามมา นางวันทองมีลักษณะสาวชาวบ้านจึงเป็นคนซื่อ ไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก ทำอะไรก็ทำตามประสาหญิงชาวบ้าน เมื่อโตเป็นสาวก็เริ่มคิดเรื่องคู่ครอง อันเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติ แต่สังคมไทยมีความจำกัดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของประเพณี จึงทำให้ดูเหมือนว่านางวันทองไม่รักนวลสงวนตัวอย่างไรก็ตาม นางวันทองก็ยังมีภาพลักษณ์ด้านดีที่เห็นได้ชัด คือ ความละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการรับรู้ถึงความดีของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อนาง ดังจะเห็นได้จากการที่แม้นางจะไม่ได้รักขุนช้าง แต่ด้วยความดีของขุนช้างและความผูกพันที่อยู่กันมา
15 ปี ทำให้นางเป็นห่วงเป็นใยความทุกข์สุขและความรู้สึกของขุนช้างไม่น้อย หรือ อารมณ์ที่ละเอียดอ่อนในการเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี เช่น ความประณีตในการปักม่าน นอกจากนี้ นางวันทองยังเป็นคนกล้าที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง มีน้ำใจเมตตา และให้อภัยโดยไม่เคียดแค้น


   ศรีมาลา จากเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน 

          นางศรีมาลา เป็นลูกของพระพิจิตรกับนางบุษบา นางเป็นหญิงที่งดงามทั้งรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท และงามน้ำใจ นางได้พบและรักกับพลายงาม ลูกของขุนแผนกับนางวันทอง ตอนที่พลายงามกับขุนแผนยกทัพไปทำสงครามกับเชียงใหม่แล้วได้แวะเยี่ยมพ่อแม่ของนาง หลังจากเสร็จสงคราม นางศรีมาลาได้แต่งงานกับพลายงามพร้อมกับนางสร้อยฟ้า นางได้รับความรักจากพลายงามและนางทองประศรีมากกว่าจึงทำให้นางสร้อยฟ้าอิจฉา นางสร้อยฟ้าจึงทำเสน่ห์ให้พลายงามหลงใหลและเกลียดชังนางศรีมาลา ทำให้นางศรีมาลาปวดร้าวและขมขื่นใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากบางครั้งนางได้ถูกพลายงามทุบตี เพราะเชื่อที่นางสร้อยฟ้าใส่ความ ครั้นนางสร้อยฟ้าต้องโทษประหารชีวิต เนื่องจากถูกจับได้เรื่องทำเสน่ห์ใส่พลายงาม นางจึงอ้อนวอนให้นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้  โดยอ้างถึงลูกในท้องที่จะต้องตายไปกับนางด้วย เมื่อนางศรีมาลาใจอ่อนยอมขออภัยโทษให้ นางสร้อยฟ้าจึงเพียงแค่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เชียงใหม่ตามเดิม โดยในเวลาต่อมา นางก็คลอดบุตรชายมีชื่อว่า พลายยง 
 
 มัทนา จากเรื่อง ตำนานรักดอกกุหลาบ 

          นางมัทนา เป็นนางฟ้าที่มีรูปโฉมงดงาม จนจอมเทพสุเทษณ์ติดตาตรึงใจและใคร่จะได้นางเป็นชายา แต่นางมัทนาไม่เคยสนใจจอมเทพสุเทษณ์ เพราะได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะครองคู่กับชายที่ตนรักเท่านั้น ด้านจอมเทพสุเทษณ์เป็นเทพผู้ใหญ่บนสรวงสวรรค์ แต่กลับเป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถสารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม จอมเทพสุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี และไม่ว่าเกี้ยวพาหรือรำพันรักอย่างไร นางมัทนาก็ได้แต่ปฏิเสธว่า ไม่มีจิตเสน่หาตอบ ดังนั้นจอมเทพสุเทษณ์จึงโกรธมาก กระทั่งจะสาปนางมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ แต่นางมัทนาขอให้ตนเองได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง จอมเทพสุเทษณ์จึงสาปนางมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่น ทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยทุก ๆ วันเพ็ญของแต่ละเดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้เพียงหนึ่งวัน หนึ่งคืน เท่านั้น หากนางมีความรักเมื่อใด นางก็จะไม่ต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมื่อนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ จอมเทพสุเทษณ์จึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง ต่อมานางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวันแลได้พบรักกับพระรถเสน แต่นางต้องพบกับอุปสรรคนานัปการ จนนางต้องอ้อนวอนขอร้องให้จอมเทพสุเทษณ์ช่วยนาง ด้านจอมเทพสุเทษณ์ยินดีแก้คำสาปให้แต่ยังคงต้องการรับนางเป็นมเหสีอยู่เช่นเดิม แต่นางมัทนาได้ปฏิเสธอีกครั้ง ดังนั้นจอมเทพสุเทษณ์จึงสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีก
        เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่าและทราบเรื่องทั้งหมด พระองค์จึงร่ำไห้ด้วยความอาลัยก่อนรำพันถึงความหลงผิดและรำพันความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงขุดต้นกุหลาบเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้พระฤๅษีช่วยให้พรวิเศษเพื่อทำให้ต้นกุหลาบงดงามมิโรยราตราบจนกว่าพระองค์จะสิ้นอายุขัย ซึ่งพระฤาษีก็ประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ตลอดมา

 พินทุมดี จากเรื่อง สมุทรโฆษคำฉันท์ 

          พระสมุทรโฆษเป็นโอรสของพระเจ้าพินทุทัตและนางเทพธิดาแห่งเมืองพรหมบุรี  มีชายาชื่อนางสุดา ทางทิศใต้ของเมืองพรหมบุรีมีเมืองรมยนคร เจ้าเมืองชื่อพระเจ้าสีหนรคุปต์ มเหสีชื่อนางกนกพดี  และมีพระธิดาชื่อนางพินทุมดี ต่อมาพระสมุทรโฆษออกประพาสป่าเพื่อจับช้างป่า คืนวันนั้นเทพารักษ์ได้อุ้มพระสมุทรโฆษไปยังปราสาทนางพินทุมดี  พอจวนรุ่งเทพารักษ์ก็อุ้มคืนยังพลับพลาในป่า พระสมุทรโฆษจึงเที่ยวติดตามค้นหานางพินทุมดี แต่เมื่อไม่พบก็กลับไปบ้านเมืองไป ด้านนางพินทุมดีซึ่งโศกเศร้าถึงบุรุษผู้มาเป็นคู่ในคืนนั้น พระเจ้าสีหนรคุปต์จึงจัดให้มีพิธียกโลหธนูเพื่อเสี่ยงหาคู่ให้นางพินทุมดี  ด้วยความช่วยเหลือของพระอินทร์ทำให้พระสมุทรโฆษสามารถยกโลหธนูได้จึงได้อภิเษกกับนางพินทุมดี วันหนึ่งขณะเสด็จอุทยานได้พบพิทยาธรตนหนึ่งชื่อรณาภิมุข  ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับพิทยาธรชื่อรณบุตร  ซึ่งจะแย่งชิงนางนารีผลผู้เป็นชายา พระสมุทรโฆษช่วยพยาบาลรณาภิมุข  รณาภิมุขจึงถวายพระขรรค์อันมีฤทธิ์ทำให้เหาะได้แก่พระสมุทรโฆษ  พระสมุทรโฆษจึงพานางพินทุมดีเหาะไปประพาสป่าหิมพานต์

  ขณะที่พระสมุทรโฆษบรรทมหลับได้ถูกพิทยาธรตนหนึ่งลักพระขรรค์ไป  ทั้งสองพระองค์จึงเสด็จมาถึงฝั่งน้ำที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและเกาะขอนไม้ข้ามฟาก แต่เกิดพายุพัดขอนไม้ขาดเป็นสองท่อน ทำให้พระสมุทรโฆษต้องพลัดพรากจากนางพินทุมดี แต่ในเวลาต่อมาพระอินทร์ได้ให้นางเมขลามาช่วยเหลือ จึงได้ทั้งสองพบกันและกลับคืนสู่รมยนครอีกครั้ง ก่อนจะครองเมืองด้วยความผาสุกจนสิ้นพระชนม์แล้วไปบังเกิดในสวรรค์

 เทราปตี จากเรื่อง ภควัทคีตา 

          นางเทราปที มีนามจริงคือ กฤษณา แปลว่าดำ เพราะนางมีผิวคล้ำ แต่มีความงามยอดยิ่ง นางเทราปตี เป็นธิดาของท้าวทุรบท เจ้าเมืองแห่งแคว้นปัญจา เมื่อนางเจริญวัยถึงคราวควรจะมีคู่ ท้าวทุรบทได้ประกาศพิธีสยุมพรให้แก่นาง โดยเชิญหน่อกษัตริย์ทั้งหลายมาประชุมแข่งขันแสดงฝีมือยิงธนู ปรากฏว่า เจ้าชายอรชุนผู้เป็นเจ้าองค์หนึ่งในหมู่เจ้าชายปาณฑพห้าองค์ได้ชัยชนะ จึงได้รับเลือกให้เป็นสามีของนางเทราปที เมื่อเจ้าชายอรชุนพานางกลับมายังตำหนักในป่า ด้วยความดีใจเจ้าชายอรชุนได้ทูลพระนางกุนดีผู้เป็นพระมารดาว่า ตนได้ลาภมา พระนางกุนดีจึงตรัสว่า จงแบ่งกันระหว่างพี่น้องเถิด เนื่องจากไม่ทราบว่าลาภดังกล่าวคือนางเทราปตี ดังนั้นนางเทราปตีจึงจำต้องมีสามีทั้งห้าคน นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ศกุนตลา จากเรื่อง ศกุนตลา 

          นางศกุนตลา เป็นธิดาของ พระวิศวามิตรกับนางฟ้าเมนกา แต่นางได้ถูกทิ้งไว้ในป่าตามลำพัง ต่อมานางนกมาพบเข้าจึงนึกสงสารและและนำตัวนางกลับไปเลี้ยงดูเหมือนลูกแท้ ๆ ที่อาศรมของตน ต่อมานางศกุนตลาเติบโตเป็นสาวรุ่นที่งดงามอย่างหาที่ติไม่ได้ นางได้พบกับท้าวทุษยันต์ กษัตริย์จันทรวงศ์ แห่งนครหัสดิน จนทั้งคู่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่เมื่อท้าวทุษยันต์ต้องเดินทางกลับเมือง จึงทำการมอบแหวนวงหนึ่งไว้ให้แก่นาง จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งพระฤาษีทุรวาสผู้มีปากร้าย ได้มาเรียกนางที่หน้าประตู แต่นางไม่ได้ออกไปต้อนรับ ทำให้พระฤาษีทุรวาสโกรธสาปให้นางถูกคนรักจำไม่ได้ ต่อมาเมื่อพระฤาษีทุรวาสหายโมโหแล้ว เพราะรู้ว่านางไม่ได้ตั้งใจแสดงอาการไม่เคารพกับตนจึงให้พรกำกับว่า หากคนรักของนางได้เห็นของที่ให้ไว้เป็นที่ระลึกก็จะจำนางได้  ทว่า ระหว่างเดินทางแหวนที่ท้าวทุษยันต์ประทานให้นางไว้เกิดตกหายไปในแม่น้ำ เมื่อไปถึงที่หมายท้าวทุษยันต์ทรงจำนางไม่ได้ จนกระทั่งชาวประมงจับได้ปลาที่กลืนแหวนซึ่งนางศกุนตลาทำหาย พอเห็นแหวนท้าวทุษยันต์ก็ได้สติจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ ทั้งสองจึงครองคู่กันอย่างมีความสุขอีกครั้ง 
 
 ทมยันตี จากเรื่อง พระนลคำหลวง 

          นางทมยันตี เป็นธิดาของพระเจ้าภีมราชแห่งเมืองคันธปุระ เมื่อโตเป็นสาวก็มีพระสิริโฉมงดงามและเป็นกุลสตรีที่ดี ต่างก็ร่ำลือกันไปไกลจนถึงสวรรค์ ส่วนพระนลเป็นเจ้าชายเมืองนีษระ เป็นคนเก่ง ฉลาด และรูปลักษณ์งดงามมาก ต่างก็ยกย่องและร่ำลือกันไปไกล เมื่อทั้งคู่เติบโตอยู่ในวัยหนุ่มสาวต่างก็ใฝ่ฝันและถวิลหาซึ่งกันและกัน  ต่อมาพระเจ้าภีมราชได้ประกาศพิธีสยุมพรของพระนางทมยันตีขึ้น โดยเชิญเจ้าชายและกษัตริย์ทุกเมืองมาร่วมพิธี โดยการทำให้นางพึงพอใจและเลือกคู่เอง นางทมยันตีจึงได้เลือกพระนลเป็นสวามี ทว่า กลี และ ทวารบร ซึ่งจะมางานนี้แต่ทราบว่านางได้เลือกพระนลไปแล้ว ก็โกรธเคืองสัญญาว่าจะทำลายความรักของทั้งคู่และจะทำให้แตกแยกและพลัดพรากจากกันให้ได้ หากตัวเองไม่ได้นางมาครอง ซึ่งเป็นเหตุให้พระนลกับนางทมยันตีต้องพบพานกับอุปสรรคนานัปการ รวมถึงต้องพัดพรากจากกันเป็นเวลานาน แต่ในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนสามารถกลับมาครองคู่กันด้วยความสุขได้ดังเดิม


สาวิตรี จากเรื่อง ภควัทคีตา

          นางสาวิตรี เป็นบุตรของมหาราชอัชวาปตีกับมหารานีมัลวี ซึ่งมหาราชอัชวาปตีนั้น ไม่มีบุตรชายเลย จึงได้ทำพิธีภาวนาต่อพระแม่มาเตสวาตี (พระแม่กายาตรี) ถึง 16 ปี จนพระแม่มาประทานพรให้ แต่เนื่องจากในโชคชะตาของมหาราชนั้น ไม่ได้มีพรของบุตรชายเลย พระแม่จึงได้มอบบุตรสาวที่เก่งกาจสามารถ มีสติปัญญา และรูปโฉมอันงดงามให้ เทวฤาษีนารัทมุนีได้ตังชื่อให้เด็กน้อยว่า สาวิตรี นางเป็นหญิงที่ฉลาดและงดงามมาก จนไม่มีชายใดกล้ามาสู่ขอ มหาราชอัชวาปตีจึงได้มอบหมายให้นางออกหาสามีเอง จนกระทั่งนางได้พบกับพระสัตยวาน บุตรของอดีตมหาราชจันทราเซนซึ่งตาบอด ต่อเมื่อในงานอภิสมรส เมื่อพระยมราชที่มาร่วมงานด้วยได้แจ้งว่า พระสัตยวาน เหลือเวลาบนโลกมนุษย์อีกเพียง หนึ่งปีเท่านั้น เมื่อนางสาวิตรีรู้ข่าวก็ได้เข้าไปภาวนาต่อพระแม่มาเตสวตี ซึ่งพระแม่มาเตสวตีได้แนะนำหนทาง โดยให้นางถือศีลอดอาหารอย่างเคร่งครัด เพื่อขอพรให้กับพระสัตยวาน ซึ่งในขณะที่นางถือศีลอยู่นั้น ยมราชได้พยายามมาก่อกวนนางทุกทาง เมื่อพระสัตยวานสิ้นพระชนม์ลง นางสาวิตรีที่มีใจรักสวามีมาก จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อลงไปยมโลก ก่อนใช้กลอุบายในการต่อรองกับยมราช จนสุดท้ายยมราชจึงยอมคืนวิญญาณพระยาสัตยวาน ทำให้ทั้งคู่ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข


จิตรางคทา จากเรื่อง มหาภารตะ 

          พระราชาแห่งแคว้นมณีปุระเป็นผู้ไร้ราชโอรส มีแต่พระราชธิดาองค์เดียวชื่อ จิตรางคทา (จิด-ตะ-ราง-คะ-ทา) นางมีเรือนร่างแข็งแกร่งบึกบึน มีใบหน้าแสนจะขี้ริ้วขี้เหร่และมีน้ำเสียงแหบห้าวเหมือนผู้ชายอกสามศอกคนหนึ่ง แถมพระบิดายังทรงเลี้ยงดู จิตรางคทา ในแบบของผู้ชายแท้ ทั้งสอนให้ฝึกหัดขี่ม้า ฝึกปรือเพลงอาวุธทุกชนิดอย่างแคล่วคล่อง จนไม่มีชายใดอยากได้นางเป็นคู่ครอง   กระทั่งวันหนึ่ง พรานป่า ได้ดูถูกว่านางว่าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา จึงไม่คิดจะต่อสู้ด้วยให้เสียศักดิ์ศรี พร้อมกล่าวว่านางลำพองใจในฝีมือของตนเองมากเกินไป ทำให้จิตรางคทาโกรธมาก และเมื่อนางทราบว่าพรานป่าคนดังกล่าว คือ เจ้าชายอรชุน ยอดวีรกษัตริย์ ที่นางเคารพบูชามาตลอด ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าน่าอดสู เพราะเกิดมาเหมือนชายแม้ไม่ใช่ชาย และไม่เป็นหญิงในทรรศนะของผู้ชาย  เมื่อนางได้รับคำแนะนำให้ไปหาพระกามเทพ นางจึงอธิษฐานขอเทวานุเคราะห์ พระกามเทพจึงหาหนทางช่วยโดยใช้เทวมายาทำให้นางกลายเป็นหญิงงามเพื่อให้อรชุนหลงรัก แต่พระกามเทพได้เตือนว่า เทวมายานี้มีผลแค่หนึ่งปีเต็มเท่านั้น  และการจะประคับประคองให้ความรักเป็นไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้นก็เป็นหน้าที่ของนางเอง ต่อมา เมื่อจิตรางคทาอยู่ในร่างของหญิงงาม นางจึงเดินทางไปหาเจ้าชายอรชุน โดยใช้ชื่อ ชยา ฝ่ายเจ้าชายอรชุนเมื่อพบหญิงงามดั่งนางฟ้าอยู่ตรงหน้า พระองค์จึงยอมรับนางเป็นชายาด้วยความเต็มใจ  ทว่า ในระหว่างหนึ่งปีที่จิตรางคทาเสวยสุขอยู่กับเจ้าชายอรชุนในบรรณาศรมกลางป่า นางไม่รู้เลยว่า แคว้นมณีปุระของตนถูกข้าศึกจากปัจจัตประเทศรุกรานครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนภายในราชอาณาเขตก็ชุกชุมด้วยโจรผู้ร้าย และเมื่อนางได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเหล่าชาวบ้าน นางก็ยอมกลับสู่ร่างที่แท้จริงทันที โดยได้เล่าความจริงทั้งหมดให้เจ้าชายอรชุนทราบและขอให้เจ้าชายอรชุนยกโทษให้ เนื่องจากนางทำไปเพราะความรัก แต่นางมีหน้าที่สำคัญคือต้องไปปราบศัตรูแผ่นดินแม้อาจไม่มีชีวิตรอดจากศึกครั้งนี้ ด้านเจ้าชายอรชุนเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เกิดเลื่อมใสนางยิ่งนัก เนื่องจากนางเป็นผู้มีน้ำใจงามประเสริฐ มีความกล้าหาญ เสียสละ ดังนั้นพระองค์ก็พร้อมที่เคียงข้างนางในสนามรบเช่นกัน ด้านจิตรางคทาได้ย้ำว่าตนเองอัปลักษณ์ไม่คู่ควรกับเจ้าชายอรชุน แต่เจ้าชายอรชุนได้กล่าวว่า เมื่อพระองค์รักนางด้วยพระทัย ทุกสิ่งในโลกนี้ก็สวยงามไปหมด และยืนยันว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อนางจะยั่งยืนตลอดไป มิใช่ความรักฉาบฉวยเพียงชั่งหนึ่งปีอันเกิดจากเทวานุภาพของพระกามเทพเช่นที่ผ่านมา 
 
สีดา จากเรื่อง รามเกียรติ์ 

          นางสีดาคือพระลักษมีจุติลงมาตามบัญชาของพระอิศวรเพื่ออัญเชิญพระนารายณ์อวตาร นางสีดาเกิดจากนางมณโฑและทศกัณฐ์ พิเภกได้ทำนายดวงชะตานางสีดาว่าจะเกิดมาทำลายเผ่ายักษ์ นางจึงถูกทิ้งให้ลอยน้ำมาในผอบทอง ดังนั้นพระฤาษีชนกก็รับเลี้ยงนางสีดาเป็นธิดา ต่อมาเมื่อนางได้อภิเษกกับพระราม และเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเมื่อนางถูกทศกัณฐ์จับตัวไปเพื่อให้เป็นมเหสีเนื่องจากความงามเป็นเลิศของนาง จึงเกิดการรบกันระหว่างฝ่ายพระรามและทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องรามเกียรติ์ขึ้น  ทั้งนี้ ลักษณะนิสัยนางสีดาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสามีอย่างเป็นเลิศ เช่น ในตอนที่พระรามต้องออกดินป่า นางก็ขอตามเสด็จไปด้วยโดยไปเกรงกลัวต่อความยากลำบากที่จะต้องพบ นางสีดานั้นรักนวลสงวนตัว รักในเกียรติของตนเอง เช่น ในตอนที่หนุมานอาสาจะพานางกลับไปหาพระรามโดยให้นั่งบนมือของหนุมาน นางก็ปฏิเสธทั้งที่มีโอกาสหนี แต่ด้วยเหตุที่ไม่อยากให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวจึงยอมทนทุกข์อยู่เมืองลงกาต่อ 
 ส่วนการมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เช่น ตอนที่นางสีดายอมลุยไฟเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน นางสีดามีความรู้คุณ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เช่น ในตอนที่นางสีดากล่าวขอบคุณพระลักษมณ์ที่ช่วยเหลือนางมาตลอด เมื่อรู้ว่าตนทำผิดก็รู้จักขอโทษ เช่น ในตอนที่รู้ว่าตนทำผิดที่ไม่เชื่อคำของพระรามว่าเป็นกลลวงของยักษาที่แปลงกายเป็นกวางเพื่อหลอกล่อนาง แต่นางก็ไม่ฟัง จึงได้กล่าวขอพระราชทานอภัยโทษจากพระรามที่ได้กระทำผิดไป นางเป็นคนใจแข็ง ไม่ยอมเชื่อใครโดยง่าย ทั้งยังรักศักดิ์ศรีของตน เช่น ในตอนที่พระรามตามง้อขอคืนดี นางก็ปฏิเสธไปเพราะยังมีทิฐิ  
 

นิทานพื้นบ้าน ( 9 9 56 )


 นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : ตำนานผาแดงนางไอ่

            นางไอ่เป็นธิดาพระยาขอมผู้ครองเมืองชะธีตา นางไอ่เป็นสตรีที่มีสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปในนครต่าง ๆ ทั้งโลกมนุษย์และบาดาล มีชายหนุ่มหมายปองจะได้อภิเษกกับนางมากมาย ในจำนวนผู้ที่มาหลงรักนางไอ่ มีท้าวผาแดงและท้าวพังคี โอรสสุทโธนาค เจ้าผู้ครองนครบาดาล ท้าวทั้งสองต่างเคยมีความผูกพันกับนางไอ่มาแต่อดีตชาติ จึงต่างช่วงชิงจะได้เคียงคู่กับนาง แต่ก็พลาดหวัง จึงมิได้อภิเษกทั้งคู่เพราะแข่งขันบั้งไฟแพ้ ท้าวพังคีนาคไม่ยอมลดละ แปลงกายเป็นกระรอกเผือกคอยติดตามนางไอ่ สุดท้ายถูกฆ่าตายพญานาคผู้เป็นพ่อจึงขึ้นมาถล่มเมืองล่มไปกลายเป็นหนองน้ำใหญ่คือ หนองหาน
           อย่างไรก็ตาม ในตำรา อ้างอิงถึงเรื่องผาแดงนางไอ่จบลงด้วยการเกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ จากการต่อสู้ของพญานาคกับท้าวผาแดง ต่างก็มีข้อมูลอ้างอิงถึง หนองน้ำที่ชื่อหนองหาน แต่กล่าวต่างกันไปในตำราแต่ละเล่มถึงหนองน้ำ ทั้ง 3 แห่ง หนองหาน ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และหนองหาน อำเภอกุมภวาปีซึ่งก็ไม่ไกลจากที่แรกมากนักและอีกที่หนึ่งก็คือหนองหารจังหวัดสกลนคร

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องปู่ปะหลาน

            ปู่กับหลานได้เดินทางไกลผ่านมายังทุ่งกุลาร้องไห้นี้ เดินข้ามอย่างไรก็ไม่พ้นสักที ปู่ก็จวนเจียนจะหมดแรงอยู่รอมร่อ ส่วนหลานนั้นก็ได้เอาแต่ร้องไห้งัวเงียด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งยังกระหายน้ำจนดูท่าว่าจะเดินทางไปต่อไม่ไหว จนกระทั่งได้พลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย (แต่ก่อนนี้ทุ่งกุลาร้องไห้นี้มีความทุรกันดารมาก ทั้งยังมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มีอาณาเขตติดต่อกันถึงห้าจังหวัด) ปู่จึงได้ใช้ผ้าขาวม้าห่อหุ้มหลานเอาไว้ แล้วนำไปไว้ยังโคนของพุ่มไม้แห่งหนึ่งเพื่อบังแดดให้แก่หลานน้อยนั้นไว้ ปู่จึงได้รีบเดินทางต่อโดยความหวังว่าจะได้พบกับหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดที่ซึ่งมีน้ำเพื่อที่จะนำไปให้หลานดื่มได้บริเวณนี้เรียกว่า บ้านป๋าหลาน เพราะคำว่าป๋านั้นหมายถึงการทิ้ง เช่น ผัวป๋าเมีย เป็นต้น ซึ่งในบริเวณจังหวัดมหาสารคามนั้น ก็มีชื่อหมู่บ้านนี้ว่าเป็นบ้านป๋าหลานอยู่ในท้องที่ใกล้ๆกับอำเภอเมืองจังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน  เมื่อปู่เดินทางจนมาถึงตีนบ้าน ปู่ก็ได้รีบเขาไปขอน้ำดื่มจากชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น พร้อมกับได้รีบนำน้ำใส่บั้งทิงเพื่อที่จะนำไปให้หลานดื่มส่วนหลานนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่พบปู่ ก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ และด้วยความกลัวตามประสาของเด็ก และจึงได้ออกวิ่ง ทั้งเดินเพื่อตามหาปู่ของตนว่าอยู่ไหน ทั้งยังพร่ำบ่นว่า ปู่นั้นได้ทิ้งตนเองไปแล้ว ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่าปู่นั้นไม่รักตนเอง ปล่อยทิ้งให้หลานนั้นอยู่เพียงลำพังคนเดียวด้วยความไม่ไยดีซึ่งมีปรากฏเป็นบทกลอนของการลำอยู่ ในที่สุดนั้นหลานก็ได้หมดแรง และล้มลงปู่นั้นเมื่อได้น้ำมาแล้ว ก็ได้รีบนำกลับมาให้หลานด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่ได้วางหลานเอาไว้ ก็กลับไม่พบหลานเลย ปู่จึงได้รีบออกค้นหาหลานไปทั่วบริเวณนั้น จนกระทั่งปู่ก็ได้มาพบหลานนอนตายอยู่กลางแดดจ้าของท้องทุ่งอันแสนกันดารแห่งนี้ มีทั้งมด แมลง ไต่ชอนไชอยู่ตามรูจมูก ใบหูและปากไปทั่วครั้นเมื่อปู่เห็นสภาพหลานดังนั้นแล้วก็แทบใจขาด น้ำตาร่วงหล่นด้วยความสงสารในชะตากรรมของหลานที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมาน ทั้งยังโทษตัวเองว่าทำไมจึงได้ทิ้งหลานไว้ให้อยู่คนเดียว ปู่ได้ค่อย ๆ อุ้มศพของหลานขึ้นแล้วเดินพาหลานกลับไปยังตีนบ้านแห่งนั้น ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ดังกับว่าหัวใจของปู่นั้นจะแตกสลายเสียให้ต่อมาเมื่อมีความเจริญขึ้นตรงบริเวณนั้น บริเวณบ้านแห่งนั้นก็ถูกเรียกว่าเป็นบ้านปะหลานซึ่งหมายถึงบริเวณบ้านที่ปู่นั้นได้พบกับศพของหลานนั่นเอง


นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องซิ่นสองต่อน
ซิ่นสองต่อน         หมายถึง                                เนื้อคู่
ซิ่น                          หมายถึง                                เนื้อ     
ต่อน                       หมายถึง                                ชิ้น
รวม                        คือ                         เนื้อสองชิ้นก็คือเนื้อคู่

      ว่ากันว่า นานมาแล้ว เมื่อปี 2514 จำปารักกันกับบุญหลาย แต่พ่อแม่กีดกัน เพราะพ่อแม่เป็นศัตรูกันเมื่อ 20 ปีก่อน ทั้งสองถึงแอบคบกันลับ ๆ ตลอดมา จนวันหนึ่ง จำปี พี่ของจำปาซึ่งแอบรักบุญหลาย เห็นจำปากับบุญหลายคุยกัน จึงไม่พอใจ จึงนำความไปบอกพ่อแม่ พ่อแม่แค้นใจมาก จึงจับจำปาบวชชี เวลาผ่านไปหลายเดือน จำปาก็แอบหนีจากการเป็นชี หนีไปอีกหมู่บ้านหนึ่งกับบุญหลาย เมื่อจำปีทราบว่า จำปาหนีไปกับบุญหลาย จำปีก็ไปบอกพ่อแม่ของบุญหลาย ฝ่ายแม่ของบุญหลายก็ตรอมใจตาย ส่วนพ่อบุญหลายไม่เชื่อเลย จับจำปีขังไว้ที่บ้านของตน แล้วไปของพ่อแม่ของจำปา ว่าให้หาบุญหลายมาคืนแล้วจะเอาจำปีคืนให้ ทั้งสองจึงแสร้งมาเล่าความจริงว่าไม่ได้เอาไป มาพร้อมกับข้าวห่อหนึ่งใส่ยาพิษมาให้พ่อบุญหลายกิน พ่อบุญหลายก็กินแล้วตายไป พ่อแม่จำปีก็พาจำปีกลับบ้าน แต่ยังไม่ถึง โจรก็มาปล้นกลางทางแล้วฆ่าทั้ง 3 ทิ้งเสีย ส่วนจำปากับบุญหลาย ครองรักกันไม่นานก็มีลูกแล้วแท้ง จำปาเลยเป็นบ้าบอสติไม่เต็ม วันหนึ่งเห็นมีดในครัวจึงถือมาฟันหัวบุญหลายตาย
 
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน:เรื่องขี้เหล้าเล่นหม้อ

                นิทานพื้นบ้านหนองฮังกา (ปัจจุบันขึ้นกับบ้านแสงอินทร์) ต.กระเบื้อง อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์

         นานมาแล้วมีเศรษฐีผู้ใจบุญท่านหนึ่ง แกชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ ขอให้ได้ทำบุญแก่จะทำทุกอย่าง คนอีสานพูดไว้ว่า แฮงให้ แฮงรวย แฮงให้ แฮงได้หลาย”  คือ ได้เยอะเพราะคนตอบแทนกับการให้ของเรา รวมคือรวยน้ำใจไปไหนคนรักคนอารีย์กับไมตรีจิตของเรายิ่งให้ก็ยิ่งได้มากเศรษฐีผู้ใจบุญมีลูกชายคนเดียว ไม่เอาถ่าน ลูกเมียก็ไม่มี ลูกชายเศรษฐี เอาอย่างเดียวคือ กินเหล้า กินแล้วก็กินอีก กินจนติด เพื่อนฝูงก็มาก เพราะรวย มีเงินเลี้ยงคนอื่น เพื่อต้องการความเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง เพื่อนทั้งหลายก็หลอกกินฟรีไปวัน ๆ
 หลายปีต่อมา เศรษฐีใจบุญตายลง ลูกชายเศรษฐีเป็นผู้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่สนใจการบริหาร ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ที่พ่อแม่ให้ไว้ ดื่มกินจนเมามาย ไม่นานฐานะความเป็นอยู่ของเขาก็จนลง ไม่มีที่อยู่อาศัย ขอทานเขากินไปวัน ๆ ความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเริ่มเข้ามาแทนที่ เขาไปหาเพื่อนที่ไหนก็ไม่มีใครให้กิน ความทุกขเวทนามีมากยิ่งขึ้น ด้วยเดชะบุญกุศลของเศรษฐีผู้ใจบุญที่ตายไปแล้ว จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาผู้ใหญ่ในสวรรค์ ด้วยความเป็นห่วงลูก จึงใช้ตาทิพย์มองมายังพื้นโลก เห็นลูกชายของตนได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก หัวอกผู้เป็นพ่อให้สลดหดหู่ยิ่ง ด้วยความเป็นห่วงลูก เทวดาผู้เป็นใหญ่นั้นจึงได้ลงมาหาลูกตน สอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินให้รู้จักประหยัดเมื่อมีเงิน ลูกชายเมื่อฟังแล้วก็รับปากว่า จะกลับตัวเป็นคนดี จะเลิกเหล้าเด็ดขาด เขาบอกกับเทวดาผู้เป็นใหญ่ซึ่งเป็นพ่อของเขาว่า เขาจะเริ่มต้นอย่างไร เขาไม่มีทุกรอนอะไร เทวดาผู้เป็นพ่อจึงส่งหม้อดินให้เขาใบหนึ่ง แล้วบอกว่า เจ้าจงรักษาหม้อดินนี้ให้ดี หากเจ้าต้องการเงินทอง เจ้าก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบมาใช้ได้ดั่งใจคิดแต่มีข้อแม้ว่าอย่าทำแตกลูกชายเศรษฐีก็รับคำพ่อ

         เช้าของวันรุ่งขึ้น ลูกชายเศรษฐีขี้เหล้า ก็เอามือล้วงดูว่าที่พ่อบอกนั้นจะจริงหรือเปล่า เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก มือเขาสัมผัสกับเงินทองมากมาย เขาอดเหล้าได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็ลืมคำพ่อที่สั่งสอนเสียสิ้น เขากลับมาดื่มกินอย่างหนัก วันหนึ่งเขากินเหล้าแล้วก็เดินทางไปหาเพื่อน ระหว่างทาง เขานึกสนุกขึ้นมา จึงได้โยนหม้อขึ้นสูง ๆ แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า "โอะ ๆ โอะโอะร่วง" พอรับหม้อได้เขาก็โยนใหม่ แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า "โอะ ๆ โอะ โอะร่วง" เขาทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในระหว่างเดินทาง แล้วก็วิ่งไปรับ ปากก็พูดว่า "โอะ ๆ โอะ โอะร่วง" คราวนี้หม้อในมือเขาเกิดร่วงจริง ๆ หม้อใบนั้นจึงแตก ขี้เหล้าตกใจมาก เขาคิดถึงคำพ่อที่บอกไว้ เขารู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองมาก เขาไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้ เขาไม่ได้ล้วงเงินทองในหม้อเก็บไว้ เพื่อไว้ใช้จ่ายในวันข้างหน้าเลย เขาไม่ได้เก็บเงินไว้เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลตนเองเลยเขาไม่มีเงินสำรองอะไรทั้งสิ้นหมดแล้วทุกอย่าง

  
 นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน:เรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่

          ครั้งหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ในฤดูฝนมีการเตรียมปักดำกล้าข้าวทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพราะปลูก  ครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำพร้าพ่อ  ไม่ปรากฏชื่อหลักฐาน ก็ออกไปปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน วันหนึ่งเขาไถนาอยู่นานจนสาย  ตะวันขึ้นสูงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมากกว่าปกติ และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน  ปกติแล้วแม่ผู้ชราจะมาส่งก่องข้าวให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้าผิดปกติเขาจึงหยุดไถนาเข้าพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยเจ้าทุยไปกินหญ้าสายตาเหม่อมองไปทางบ้าน  รอคอยแม่ที่จะมาส่งข้าวตามเวลาที่ควรจะมา  ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ ยิ่งสายตะวันขึ้นสูงแดดยิ่งร้อนความหิวกระหายยิ่งทวีคูณขึ้นทันใดนั้นเขามองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนาพร้อมก่องข้าวน้อยๆ  ห้อยต่องแต่งอยู่บนเสาแหรกคาน  เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก  ด้วยความหิวกระหายจนตาลายอารมณ์พลุ่งพล่าน  เขาคิดว่าข้าวในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่จึงเอ่ยต่อว่าแม่ของตนว่า
"อีแก่มึงไปทำอะไรอยู่จึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านักก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆกูจะกินอิ่มหรือ?"
ผู้เป็นแม่เอ่ยปากตอบลูกว่า "ถึงก่องข้าวจะน้อย ก็น้อยต้อนเต้นแน่นในดอกลูกเอ๋ย  ลองกินเบิ่งก่อน"
 ความหิว ความเหน็ดเหนื่อย ความโมโห หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใด ๆ เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า คว้าได้ไม้แอกน้อยเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดกล่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่อนิจจาแม่สิ้นใจไปเสียแล้ว..

          ชายหนุ่มร้อยไห้โฮ สำนึกผิดที่ฆ่าแม่ของตนเองด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ  ไม่รู้จะทำประการใดดี  จึงเข้ากราบนมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด สมภารสอนว่า "การฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง "เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว ขอร้องชักชวนญาติมิตรชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้จึงให้ชื่อว่า"ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่"จนตราบทุกวันนี้
    


             
 นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน:เรื่องพญาคันคาก

            "คันคาก" ในภาษาอีสานที่แปลว่า "คางคก" เรื่อง "พญาคันคาก" อันเป็นต้นกำเนิดของประเพณีบุญบั้งไฟซึ่งเป็นบุญเดือนหกในฮีตสิบสองคองสิบสี่ของชาวอีสาน
            ณ เมืองชมพู พระนางสีดา มเหสีของพญาเอกราชผู้ครองเมือง ได้ให้กำเนิดโอรสลักษณะแปลกประหลาด คือผิวกายเหลืองอร่ามดั่งทองคำ แต่เป็นตุ่มตอเหมือนผิวคางคก คนทั้งหลายจึงขนานนามพระกุมารว่าท้าวคันคากซึ่งคันคากแปลว่าคางคกเมื่อเติบใหญ่ขึ้น พระกุมารประสงค์จะได้พระชายาที่มีสิริโฉมงดงาม แต่พญาเอกราชได้ห้ามปรามไว้ ด้วยทรงอับอายในรูปกายของท้าวคันคาก แต่ท้าวคันคากก็ไม่ย่อท้อ ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากพระอินทร์ ด้วยบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนของท้าวคันคาก พระอินทร์จึงเนรมิตปราสาทพร้อมทั้งประทานนางอุดรกุรุทวีป ผู้เป็นเนื้อคู่ให้เป็นชายา ส่วนท้าวคันคากเอง ก็ถอดรูปกายคันคากออกให้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม พญาเอกราชยินดีกับพระโอรส จึงสละราชบัลลังก์ให้ครองเมืองต่อ ทรงพระนามว่า พญาคันคาก พญาคันคากตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเดชานุภาพเป็นที่เลื่องลือ จนเมืองน้อยใหญ่ต่างมาสวามิภักดิ์ แต่ก็ทำให้มีผู้เดือดร้อน คือพญาแถน ผู้อยู่บนฟากฟ้า เพราะมนุษย์หันไปส่งส่วยให้พญาคันคากจนลืมบูชาพญาแถน จึงแกล้งงดสั่งพญานาคให้ไปให้น้ำในฤดูทำนา ทำให้เกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงชาวเมืองจึงไปร้องขอพญาคันคากให้ช่วย

            พญาคันคากจึงเกณฑ์กองทัพสัตว์มีพิษทั้งหลาย ได้แก่ มด ผึ้ง แตน ตะขาบ กบ เขียด เป็นอาทิ ทำทางและยกทัพขึ้นไปสู้กับพญาแถน โดยส่งมดปลวกไปกัดกินศัตราวุธของพญาแถนที่ตระเตรียมไว้ก่อน ทำให้เมื่อถึงเวลารบ พญาแถนไม่มีอาวุธ แม้จะร่ายมนต์ ก็ถูกเสียงกบ เขียด ไก่ กา กลบหมด เสกงูมากัดกินกบเขียด ก็โดนรุ้ง (แปลว่าเหยี่ยว) ของพญาคันคากจับกิน ทั้งสัตว์มีพิษก็ยังไปกัดต่อยพญาแถนจนต้องยอมแพ้ในที่สุดพญาคันคากจึงเริ่มเจรจาต่อพญาแถน ขอให้เมตตาชาวเมืองประทานฝนตามฤดูกาลทุกปีพญาแถนแสร้งว่าลืมพญาคันคากจึงทูลเสนอว่าจะให้ชาวบ้านจุดบั้งไฟขึ้นมาเตือนพญาแถนก็เห็นชอบด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุก ๆ เดือนหกซึ่งเป็นช่วงเริ่มฤดูทำนา ชาวอีสานจึงมีประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อบูชาพญาแถน เพื่อจะได้อำนวยความสะดวกตลอดฤดูเพาะปลูก และเมื่อพญาแถนประทานฝนลงมาถึงพื้นโลกแล้ว บรรดากบเขียดคางคกที่เป็นบริวารของพญาคันคากก็จะร้องประสานเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพญาแถน



             
 นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน:เรื่องยายหมาขาว

          นิทานเรื่องยายหมาขาว  เป็นนิทานสอนใจเยาวชนชาวอีสานมาช้านาน  หมอลำหมู่นิยมเอามาแสดงเสมอ  ในตอนจบเรื่องก็จะมีคำกลอนสอนใจให้ทุกคนกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ  ไม่เฉพาะเป็นคนแม้เป็นสัตว์ที่ทำคุณให้กับตนยังต้องรู้จักบุญคุณด้วยยังมีสองผัวเมียอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจันทคาม  ซึ่งฝ่ายเป็นเมียนั้นได้ท้องแก่จวนคลอดแล้วในตอนนั้นเกิดโรคระบาด  ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก  สองผัวเมียจึงอพยพหนีจากหมู่บ้านมาอยู่กลางป่า ต่อมาเมียคลอดลูกแล้วก็ตาย  ผัวเห็นก็ตรอมใจตายตามด้วย  ปล่อยให้เด็กทารกเกิดใหม่ร้องไห้อยู่ในป่าอย่างนั้นต่อมายังมีหมาขาวตัวหนึ่งเป็นตัวเมียออกมาหากิน  มาเห็นเด็กทั้งสองก็เกิดสงสาร  จึงเอาไปเลี้ยงเป็นลูก ให้กินนมของตัวและหาอาหารเลี้ยงมาจนเติบโตเป็นสาวสวย  ทุกวันนางหมาขาวตัวนี้จะพาลูกสาวทั้งสองออกไปหากินในป่า
ในวันหนึ่งเกิดพายุพัดให้นางหมาขาวต้องพลัดพรากจากลูกไป  ลูกสาวทั้งสองก็โดนลมพัดไปถึงเขตบ้านนายพราน  เมื่อนายพรานเห็นหญิงสาวทั้งสองงดงามมาก  อยากได้รางวัลจึงนำหญิงสาว ทั้งสองขึ้นถวายแก่พระราชาซึ่งยังโสด พระราชามีพระอนุชาซึ่งยังโสดเหมือนกัน  ฝ่ายพระราชาก็ได้ผู้พี่เป็นมเหสี  ฝ่ายอนุชาก็รับผู้น้องเป็นชายากล่าวถึงนางหมาขาว เมื่อพลัดพรากจากลูกแล้ว  นางก็ติดตามหาลูก  จนได้ยินข่าวว่านายพรานเป็นผู้อุปการะจึงมาหานายพรานเพื่อถามหาลูกสาว  เมื่อนายพรานรู้ก็บอกความจริง   นางหมาขาวจึงขอร้องให้นายพรานพาไปหาลูกสาวที่ในวัง  เมื่อพามาถึงพระราชวัง  นายพรานก็ทูลพระราชาตามความจริง  แต่พระมเหสีนั้นอับอายขายหน้าเกรงว่าคนจะรู้ว่าตนเป็นลูกของหมาขาว  จึงทูลเท็จต่อพระสวามีไปว่า ไม่เป็นความจริง  พร้อมทั้งขับไล่นายพรานและหมาขาวตัวนั้นไป  แต่นางหมาขาวไม่ยอมไป  นางจึงเอาน้ำร้อนเทสาดใส่กลางหลังนางหมาขาว  นางหมาขาวถูกน้ำร้อนลงกลางหลังทำให้นางบาดเจ็บสาหัส  นางก็ซัดเซพเนจรไปล้มลงที่วังของลูกสาวคนเล็ก  เมื่อลูกสาวคนเล็กมาพบมารดา  ก็จำได้ จึงอุ้มมารดามาเพื่อจะรักษา  แต่นางทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตาย  ก่อนตายนางบอกว่าห้ามเผาหรือฝัง  ให้เก็บกระดูกไว้บูชาในวัง  ลูกสาวก็ทำตาม จากนั้นไม่นานก็เกิดเป็นทองคำข่าวนั้นเลื่องลือไปถึงผู้พี่สาว พี่สาวก็มาขอส่วนแบ่งทองคำ  แต่น้องไม่ยินยอมให้จึงเกิดโต้เถียงกัน  จนดังขึ้นไปถึงหูพระราชา  พระราชาจึงได้เรียกทั้งสองเข้ามาถามความจริง ในที่สุดเรื่องจริงก็ปรากฏพระราชาก็โกรธที่พระมเหสีของพระองค์นั้นทูลเท็จและอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ จึงตัดสินให้ประหารชีวิตเสีย...

 นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน:เรื่องกำพร้าผีน้อย

           ที่เมืองแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ ได้เที่ยวขอทานเขากินจนโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงออกจากเมืองมาทำนาทำไร่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เมื่อข้าวพืชงอกงามขึ้น ได้มีสัตว์ต่าง ๆ มากิน แม้จะไล่อย่างไรก็ไม่ไหว  เอาอะไรมาทำเครื่องดักก็ยังขาดหมด  จึงไปขอเอาสายไหม จากย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) มาทำจึงจับได้ช้าง   ช้างเมื่อถูกจับได้กลัวตาย จึงร้องขอชีวิตและบอกว่าจะให้ของวิเศษถอดงาข้างหนึ่งให้ 
 ท้าวกำพร้าผีน้อย จึงปล่อยไปแล้วเอางาช้างมาไว้ที่บ้าน ต่อมาท้าวกำพร้าดักได้เสือ เสือก็ยอมเป็นลูกน้อโดยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนจะมาช่วย  ต่อมาจับได้อีเห็น อีเห็นก็ยอมเป็นลูกน้อง เช่นเดียวกันกับเสือ  ต่อมาจับพญาฮุ้ง (นกอินทรีย์) พญาฮุ้งก็ยอมเป็นลูกน้อง และตัวสุดท้ายจับได้คือ ผีน้อยที่มาขโมยกินปลาที่ไซน้อย ก็ยอมเป็นลูกน้อง ขณะที่ท้าวกำพร้าได้เอางาช้างมาไว้ที่บ้าน   ในงาช้างนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อสีดอาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้รอท้าวกำพร้า ต่อมาท้าวกำพร้าจับนางได้จึงทุบงาช้างนั้น เพื่อจะไม่ให้นางหลบเข้าไปอยู่อีก  นางจึงอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่นั้นมา    ความสวยงามของสีดา ได้ยินไปถึงพระราชา  เมื่อพระราชาเห็นแล้วก็รักใคร่ จึงจะยึดเอาแต่ก็กลัวคนจะติเตียน จึงท้าท้าวกำพร้า พนันขันแข่งต่าง ๆ โดยถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดามา ถ้าพระองค์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง 
           การแข่งขันนั้นคือ ชนวัว , ชนไก่ , แข่งเรือ แต่ปรากฏว่าท้าวกำพร้าชนะทุกครั้ง เพราะในการชนวัวนั้น เสือแปลงเป็นวัวมาช่วยท้าวกำพร้า ชนไก่นั้นอีเห็นแปลงเป็นไก่มาช่วย กัดไก่ของพระราชาตาย ในการแข่งขันเรือนั้น พญาฮุ้งมาเป็นเรือและได้ทำให้เรือพระราชาล่มแล้วกินคนหมดทั้งเมือง  เมื่อพระราชาตายแล้วได้รวมหัวกับบ่างลั่วตัวหนึ่ง    โดยให้บ่างลั่วร้องเรียกวิญญาณของนางสีดามา โดยร้องครั้งแรกนางก็ไม่สบาย ครั้งที่สองสลบไป ครั้งที่สามจึงตามวิญญาณของนาง จึงมาอยู่กับพวกผีพระราชา ส่วนท้าวกำพร้าปรึกษากับผีน้อย ผีน้อยบอกว่าอย่าเพิ่งเผา จะตามไปดูวิญญาณของนางอยู่ที่ใด  เมื่อผีน้อยตามจึงรู้เรื่องทั้งหมด  ได้วางแผนจับบ่างลั่วตัวนั้น เข้าไปตีสนิทกับบ่างลั่วแล้ว สานข้อง (ที่ใส่ปลา)  ครั้งแรกสานด้วยไม้ไผ่ แล้วให้บ่างลั่วเข้าไปข้างใน แล้วให้ยันดู ปรากฏว่าข้องแตก จึงสานด้วยลวด แล้วบอกให้บ่างลั่วเข้าไปดูแล้วบอกให้ยันดู ปรากฏว่าข้องไม่แตกจึงรีบหาฝามาปิด แล้วรีบเอามาให้ท้าวกำพร้า บังคับให้บ่างลั่วร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับคืนมาไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสีย บ่างลั่วจึงร้องเรียกเอาวิญญาณนางกลับมา โดยร้องครั้งแรกก็เคลื่อนไหว   ครั้งที่สองฟื้นขึ้น ครั้งที่สามหายเป็นปกติทุกอย่าง พอทุกอย่างปกติแล้ว ท้าวกำพร้าจึงหลอกว่าขอดูไอ้ที่ร้องเอาวิญญาณคนได้ไหม บ่างลั่วจึงแลบลิ้นออกมาให้ดู ท้าวกำพร้าจึงตัดลิ้นบ่างลั่วนั้นเสีย      เพราะกลัวมันจะร้องเอาวิญญาณไปอีก บ่างลั่วจึงร้องไม่ชัดตั้งแต่นั้นมา ส่วนท้าวกำพร้ากับนางสีดา ได้ปกครองเมืองแทนพระราชาที่ตายนั้น

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องปู่ตั๋วหลาน

             ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะที่กุดจี่สองตัวผัวเมียกำลังช่วยกันกลิ้งเบ้า (ลูกดินกลม ๆ ที่ห่อหุ้มไข่กุดจี่) ไปตามทางผ่านหน้าหมาตัวหนึ่ง หมาสงสัยก็ถามว่าจะพากันไปไหน กุดจี่ตอบว่า จะไปเมืองลังกา (กรุงลงกา ในเรื่องรามเกียรติ์)หมาก็ยิ่งสงสัยว่าไปทำอะไรหรือ กุดจี่ตอบว่า ได้ข่าวว่าเมืองลงกาถูกหนุมานเผาเมืองไหม้วอดวายหมด รวมทั้งครกที่ตำอาหารก็ไหม้ จะเอาเบ้าไปทำครกถวายพระเจ้าเมืองลังกาหมายิ่งงงและถามไปอีกอย่างดูถูกดูแคลน ว่าจะไปถึงเหรอ? แล้วเบ้าแค่นี้จะทำครกได้อย่างไรกัน กุดจี่ตอบทันควันว่า นี่กะว่า จะไปให้ทันกินข้าวเช้า แล้วก้อนดินนี้จะปาดออกให้เป็นครก 3 ใบ ก็ได้ หมาได้ฟังก็ แปลกใจอย่างสุด ๆ ตั้งแต่นั้นมาหมาไม่กินกุดจี่เลย โดยถือว่ากุดจี่มีความสามารถมากกว่าตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหมาทุกตัวจะเมินไม่ยอมกินกุดจี่ ไม่ว่าจะตัวสด หรือ คั่ว ทอดจนสุกแล้วก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจริง ๆ แล้วจะเป็นเพราะหมาไม่ถูกกับกลิ่นขี้ควายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้


นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องกุดนางใย
             
               กุดนางใย เป็นชื่อแหล่งน้ำที่สำคัญของเมืองมหาสารคาม มาตั้งแต่สมัยพระเจริญราชเดช (กวด) เจ้าเมืององค์แรก ซึ่งมาตั้งเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2408 ใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคควบคู่กับแหล่งน้ำในหนองท่ม (กระทุ่ม) ที่เรียกว่ากุดเพราะเป็นที่สิ้นสุดของสายน้ำหรือเรียกว่าแม่น้ำด้วน ปัจจุบัน ตื้นเขินมากคงเหลือเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ใกล้กับกุดนางใยเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยอาชีวศึกษา มหาสารคาม และริมกุดนางใย มีร่องรอยของวัตถุโบราณ สันนิษฐานว่าพระเจริญราชเดชสร้างไว้เมื่อครั้งตั้งเมือง ได้แก่เสาหงส์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้พิทักษ์เมืองจากนิทานพื้นบ้านกล่าวว่า ครั้งโบราณที่บริเวณแหล่งน้ำนี้มีครอบครัวหนึ่งตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ มีแม่และลูกชาย ภายหลังได้ลูกสะใภ้มาอยู่ร่วมกัน มาวันหนึ่งลูกชายไปค้าขายทางไกล แม่และลูกสะใภ้อยู่ บ้านเพียง 2 คน คืนหนึ่งแม่ผัวสังเกตเห็นว่าที่ห้องนอนของ ลูกสะใภ้จุดตะเกียงตลอดคืน ซึ่งเป็นการผิดธรรมเนียมโบราณ กล่าวคือเมื่อเข้านอนต้อง ดับตะเกียง คืนหนึ่งแม่ผัวสงสัยจึงไปแอบดูว่าลูกสะใภ้ทำอะไรอยู่ในห้อง และเห็นว่า ลูกสะใภ้กำลังสาวใยไหม ออกจากปากตัวเองมาม้วนเข้าฝัก จึงเกิดความหวาดกลัวนึกว่า สะใภ้เป็นภูตผีปีศาจ จึงนำความไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง คืนต่อมาแม่ผัวและเพื่อนบ้านจึงมาแอบดูเพื่อจับผิดลูกสะใภ้ ในที่สุดได้จู่โจมเข้าไปในห้องขณะที่ลูกสะใภ้กำลังสาวไหมออกจากปาก จึงซักถามว่าเป็นใครมา จากไหน เป็น ภูติ ผี ปีศาจ หรือเปล่า ทำให้ลูกสะใภ้อับอาย จึงหนีออกจากบ้านและโดดลงในลำน้ำนั้นหายไป เมื่อลูกชายกลับมาและรู้ความจริงว่าภรรยาโดดน้ำตาย ณ ที่แห่งนั้นจึงได้แต่ เศร้าโศกเสียใจ เมื่อถึงคืน เดือนหงายจะไปนั่งริมลำน้ำแห่งนี้ และจ้องมองลงไปในสายน้ำ นาน ๆ เข้าก็มองเห็นภรรยาในสายน้ำนั้น และสาวใยไหมออกจากปาก ต่อมาที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่ากุดนางใย (ใยหมายถึงใยไหม)


คำซ้อน( 2 9 56 )

คำซ้อน


 คำซ้อน  หมายถึง  คำที่เกิดจากการสร้างคำโดยนำคำที่มีความหมายเหมือนกัน  คล้ายกัน  ตรงข้ามกัน  หรือมีความเกี่ยวข้อง  สัมพันธ์กันในทางใดทางหนึ่งมาเขียนซ้อนกัน  ซึ่งอาจทำให้เกิดความหมายเฉพาะหรือความหมายใหม่ขึ้นมา  คำซ้อนสามารถจำแนกจุดประสงค์ของการซ้อนคำได้เป็น 2 ลักษณะ  ดังนี้
          1.  ซ้อนเพื่อความหมาย  เป็นการนำคำที่มีความหมายสมบูรณ์มาซ้อนกันตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป  ได้แก่
                    1.1  คำที่มีความหมายเหมือนกัน
                              กัก + ขัง                    กักขัง
                              ใหญ่ + โต                  ใหญ่โต
                              นุ่ม + นิ่ม                    นุ่มนิ่ม
                              กู้ + ยืม                      กู้ยืม
                    1.2  คำที่มีความหมายเป็นพวกเดียวกัน
                              บ้าน + เรือน                บ้านเรือน
                              แข้ง + ขา                   แข้งขา
                              ห้าง + ร้าน                  ห้างร้าน
                              เนื้อ + ตัว                    เนื้อตัว
                    1.3  คำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกัน
                              ลูก + หลาน                 ลูกหลาน
                              เหงือก + ฟัน                เหงือกฟัน
                              ข้าว + ปลา                  ข้าวปลา
                              พี่ + น้อง                     พี่น้อง
                    1.4  คำที่มีความหมายตรงข้ามกัน
                              ผิด + ชอบ                   ผิดชอบ
                              ได้ + เสีย                    ได้เสีย
                              เท็จ + จริง                   เท็จจริง
                              แพ้ + ชนะ                   แพ้ชนะ
          2.  ซ้อนเพื่อเสียง  เป็นการนำคำที่มีเสียงคล้ายกันมาซ้อนกัน  เพื่อให้ออกเสียงง่ายขึ้น  คำที่นำมาซ้อนนั้นอาจมีความหมายเพียงคำเดียว  หรือไม่มีความหมายทั้งสองคำก็ได้  วิธีการสร้างคำซ้อนเพื่อเสียง  ได้แก่
                    2.1  นำคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเหมือนกัน  แต่เสียงสระต่างกันมาซ้อนกัน  เช่น  งุ่มง่าม  โด่งดัง  จริงจัง  ซุบซิบ  ตูมตาม  ซับซ้อน  ท้อแท้
                    2.2  นำคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นเหมือนกัน  เสียงสระเดียวกัน  แต่เสียงตัวสะกดต่างกันมาซ้อนกัน  เช่น  อัดอั้น  ลักลั่น  ออดอ้อน  รวบรวม
                    2.3  นำคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นต่างกัน  แต่มีเสียงสระเดียวกันมาซ้อนกัน  เช่น  แร้นแค้น  รอมชอม  อ้างว้าง  ราบคาบ  จิ้มลิ้ม
                    2.4  นำคำที่ไม่มีความหมายมาซ้อนกับคำที่มีความหมาย  เพื่อให้สะดวกในการออกเสียง  มักใช้ในภาษาพูดเท่านั้น  เช่น  กระดูกกระเดี้ยว  อดเอิด  ตาเตอ  พยายงพยายาม
                    2.5  เพิ่มพยางค์ลงในคำซ้อนเพื่อให้มีเสียงสมดุล  พยางค์ที่แทรกมักเป็น  "กระ"  เช่น
                              ดุกดิก                    กระดุกกระดิก
                              จุ๋มจิ๋ม                    กระจุ๋มกระจิ๋ม
                              หนุงหนิง                กระหนุงกระหนิง
                              ตุ้งติ้ง                     กระตุ้งกระติ้ง
                    2.6  นำคำซ้อน 4-6  พยางค์ที่มีเสียงสัมผัสภายในคำมาซ้อนกัน  ข้าเก่าเต่าเลี้ยง  ถ้วยโถโอชาม  ประเจิดประเจ้อ  ทรัพย์ในดินสินในน้ำ
          3.  ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำซ้อน  เป็นคำซ้อนที่ซ้อนเพื่อความหมายและซ้อนเพื่อเสียง  มีข้อสังเกตที่สำคัญดังนี้
                    3.1  คำที่นำมาซ้อน  เป็นคำไทยซ้อนกับคำไทย  คำไทยซ้อนกับคำต่างประเทศ  หรือคำต่างประเทศซ้อนกับคำต่างประเทศก็ได้  เช่น
                              คำซ้อนที่มาจาก  ไทย + ไทย                                                            
                                        ชุก + ชุม                    ชุกชุม
                                        อ้วน + พี                     อ้วนพี
                                        ผี + สาง                      ผีสาง
                                        เจ้า + นาย                  เจ้านาย
                              คำซ้อนที่มาจาก  ไทย + ต่างประเทศ (ไทย + เขมร)                          
                                        งาม + ลออ                 งามลออ
                                        เงียบ + สงบ                เงียบสงบ
                                        แบบ + ฉบับ                แบบฉบับ
                                        โง่ + เขลา                   โง่เขลา
                              คำซ้อนที่มาจาก  ต่างประเทศ + ต่างประเทศ (บาลี + สันสกฤต)        
                                        อุดม + สมบูรณ์            อุดมสมบูรณ์
                                        เหตุ + การณ์                เหตุการณ์
                                        อิทธิ + ฤทธิ์                 อิทธิฤทธิ์
                                        มิตร + สหาย                มิตรสหาย
                              คำซ้อนที่มาจาก  ต่างประเทศ + ต่างประเทศ (เขมร + บาลี)               
                                        รูป + ทรง                    รูปทรง
                                        สุข + สงบ                   สุขสงบ
                                        พละ + กำลัง                พละกำลัง
                                        ภูมิ + ลำเนา                ภูมิลำเนา
                    3.2  จำนวนคำที่นำมาซ้อน  คำที่นำมาซ้อนอาจมีจำนวน 2 คำ 4 คำ  หรือ 6 คำ  คำซ้อนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  คำคู่  เช่น
                              คำซ้อน 2 คำ                    ยักษ์มาร  ข้าทาส  ศีลธรรม  ขับขี่  เคร่งครัด  งอแง
                              คำซ้อน 4 คำ                    กู้หนี้ยืมสิน  ชั่วดีถี่ห่าง  เจ้าบุญนายคุณ  ที่นอนหมอนมุ้ง
                              คำซ้อน 6 คำ                    อดตาหลับขับตานอน  นอนกลางดินกินกลางทราย
                    3.3  ความหมายของคำซ้อน  แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ  คือ
                              3.3.1  ความหมายคงเดิม  คำซ้อนบางคำมีความหมายคงตามความหมายของคำที่นำมาซ้อน  เช่น  แก่ชรา  ซากศพ  พัดวี  เสื่อสาด  เป็นต้น
                              3.3.2  ความหมายใหม่  คำซ้อนที่มีความหมายใหม่มีหลายลักษณะ  ดังนี้
                                        ความหมายแคบลง  คือ  มีความหมายที่เน้นคำใดคำหนึ่ง  ซึ่งจะเป็นคำหน้าหรือคำหลังก็ได้  เช่น  ปากคอ  หัวหู  ท้องไส้  เป็นต้น
                                        ความหมายกว้างขึ้น  คือ  มีความหมายรวมไปถึงอย่างอื่นที่มีลักษณะร่วมกันหรือจำพวกเดียวกัน  เช่น
                                                  ถ้วยโถโอชาม  หมายถึง  ภาชนะใส่อาหารและสิ่งของอื่น ๆ
                                                  ปู่ย่าตายาย  หมายถึง  อวัยวะภายใน  ไม่เฉพาะตับ  ไต  และไส้  เท่านั้น
                                        ความหมายเชิงอุปมา  คือ  มีความหมายเปลี่ยนไป  เกิดเป็นคำที่มีความหมายใหม่ในเชิงอุปมา  เช่น
                                                  ข้าเก่าเต่าเลี้ยง                    หมายถึง                    คนที่เคยรับใช้
                                                  อยู่กิน                                   หมายถึง                    การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
                                                  เจ้าบุญนายคุณ                    หมายถึง                    ผู้ที่มีบุญคุณ
                                                  ไปลามาไหว้                        หมายถึง                     รู้จักกาลเทศะ
                                                  ขิงก็ราข่าก็แรง                     หมายถึง                     ร้ายพอ ๆ กันทั้งสองฝ่าย
                                                  ข้าวยากหมากแพง               หมายถึง                     ความเป็นอยู่ฝืดเคือง
                                                  หัวหายสะพายขาด               หมายถึง                     ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย
                                                  ดูดดื่ม                                   หมายถึง                     ความซาบซึ้งใจ
                                                  ปากหอยปากปู                    หมายถึง                     ชอบนินทาเล็กนินทาน้อย
                    3.4  ความสัมพันธ์ของเสียงสระ  คำที่ซ้อนเพื่อเสียงจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสระหลังกับสระหน้า  หรือสระอื่น ๆ กับสระอะ  สระอา  หรือสระเดียวกัน  เช่น
                              สระหลังกับสระหน้า  เช่น  ดุกดิก  จุกจิก  อู้อี้  ดู๋ดี๋  โอ้เอ้  โลเล  เหลาะแหละ  ก๊อกแก๊ก  อ้อแอ้
                              สระเดียวกัน  เช่น  เปิดเปิง  (เฉพาะข้อนี้ไม่ค่อยมีปรากฏ  จะมีมาระหว่างสระหลังกับสระหน้า)
                    3.5  ตำแหน่งและความหมาย  คำซ้อนบางคำ  ถ้าเปลี่ยนตำแหน่งของคำ  ความหมายจะเปลี่ยนไปจากเดิมและใช้ต่างกัน  แต่บางคำมีความหมายคงเดิม  เช่น
                              ความหมายเปลี่ยนแปลง    
                                     เหยียดยาว          ยืดตัวออกไปในท่านอน  ใช้กับคนหรือสัตว์  เช่น  น้องสาวนอนเหยียดยาวอยู่ใต้ต้นลีลาวดี
                                     ยาวเหยียด         มีความยาวมาก  เช่น  รถติดไฟแดงเป็นแถบยาวเหยียด
                              ความหมายคงเดิม               
                                     แจกจ่าย            แบ่งปันให้ไปทั่ว ๆ  เช่น  สภากาชาดมาแจกจ่ายสิ่งของให้กับผู้ประสบอุทกภัย
                                     จ่ายแจก             เอาออกใช้หรือให้  เช่น  คุณครูจ่ายแจกอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แก่นักเรียน